ทำอย่างไรให้เก็บเงินอยู่

ทำอย่างไรให้เก็บเงินอยู่

อดออม

 

อดออม การล้มเหลวเป็นร้อยๆ ครั้งสิ่งที่ท่านได้มามีค่ามากคืออะไร ภูมิคุ้มกันเพราะคนมันมีภูมิคุ้มกันมันเข้าใจแล้วว่ามันจะล้มเหลวยังไง แล้วมันก็รู้แล้วไอ้นี่ไม่ดีไม่ทำ ไม่วิร์คไม่ทำ พอทำอะไรมันก็จะเริ่มล่ะเริ่มแม่นใช่ไหมครับ คนเก่งหรือคนอัจฉริยะหรือคนที่เราเห็นว่าเป็นยอดคน เกิดจากการฝึกซ้อมจนร่างกายจำกล้ามเนื้อได้ จนสมองรู้ว่าจะต้องไม่ไหวยังไงคิดกับมันยังไง อดออม

ทำให้มันถูกต้องได้ยังไงสมองเราก็ขี้เกียจ เราก็อยากได้สมองนี่มันเรียนรู้ทุกวัน มันก็อยากให้เราแบบประหยัดพลังงานที่สุด พอประหยัดงานพลังงานมากก็ทำให้เคลื่อนไหวอย่างตรงจุดผิดพลาดน้อยที่สุด เหนื่อยเว้ยเอาพลังงานไปทำให้เกิดทักษะที่แม่นขึ้นจบเลย แล้วต้องทำอะไรอีกคือเอาใจใส่ ไม่ล้มเหลวง่ายๆ ไม่ล้มเลิกตั้งใจมีโฟกัสจะทำหรือสิ่งนี้ Multi Task หลายหน้าจอ ไลน์เด้งท่วงทีวีไม่สนใจทำให้สิ่งนี้ ฉันต้องทำให้มันเสร็จ ทุ่มเทตั้งสมาธิอยู่มันจะหลุดไปได้ยังไง แล้วฝากเพิ่มอีกอะไรเพิ่มการเรียนรู้ ใส่ความเป็นเหตุเป็นผลลงไป ศึกษามันเข้าใจมันก็เหมือนที่พี่เอามาแชร์

นี่ก็เป็นความรู้แบบ Shortcut มันเรียกว่าวิมังสา ให้เราฟังธรรมพวกนี้ครบ ทำไมจะไม่รวยล่ะ ไม่รวยวันนี้ ก็วันหน้ามันไม่ผิดเรียกว่าพิมพ์เขียว พี่ชายผมเขาเรียกมันว่าพิมพ์เขียวของการเดินทาง ใครจะมาปรามาสเลยไม่รู้ ฉันมีสิ่งนี้ เราก็ตั้งต้นด้วยอิทธิบาท 4 หลักธรรมแห่งความสำเร็จ ซัคเซฟูกดอะไร 4 ข้อง่ายไหม ง่ายนะ

เชื่อว่าท่านทำได้อันนี้แหละเป็นหนทางว่าทำยังไงให้รวยใช่ไหมครับ คราวนี้ก็มันเป็นเรื่องของ Marketing แล้วใช่ไหมครับ เป็นเรื่องของความเข้าใจเรื่องการตลาด เป็นเรื่องที่พูดก็คงจะยาวก็คือต้องเข้าใจเรื่องตัวตน จุดยืนจุดขายความแตกต่างโดดเด่นไม่เหมือนใคร ทำยังไงให้ตัวเองสูตรสื่อสารอย่างน่าสนใจ ทำยังไงให้เขาได้รับคุณค่า และทำยังไงให้เขารู้สึกขนาดถึงคุณค่านั้น แล้วกลับมาซื้อมาใช้มาทำอะไรต่อมิอะไรกับเราต่อ แล้วผลจะออกมาเป็นเงิน มีจิ้งจกร้องด้วยนะธรรมชาติสุดๆ ไม่ร้องนะวันนี้ จะนอนแล้วตรงนี้เอง ที่น่าสนใจมากเลยเอาไปลับใช้ได้ง่ายๆ คราวนี้ก็จะมีคำถามว่า

พูดแบบนี้พอจะเข้าใจบ้างแล้วค่ะ สำหรับคนที่รวยอยู่แล้ว ผมรู้อยู่แล้วพูดไปก็เท่านั้น จะไปโทษสิ่งอื่นอีก บ้างก็บอกผมทำและเศรษฐกิจไม่ดี พอไม่ดีไม่ทำเลยดีกว่า ผมได้ยินคำนี้บ่อยมากจริงๆ นั่นคือวิธีใช่ไหมถามว่าทำไมไม่รวย ตอนนี้โทษรัฐบาลเมื่อกี้หาวิธีแก้ไขตัวเองแล้วนะ คราวนี้พอแก้ไขตัวเองได้ก็เป็นคนอื่นอีก มนุษย์ก็มักจะชอบโทษสิ่งกีดขวางทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น แต่สิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นแล้วขวางในจิตใจ ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่มองเห็นอีก สิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าเรารู้ว่าจะต้องทำยังไง สิ่งที่มันยังไม่เกิดเราไม่รู้ว่าเราต้องทำยังไง มันเป็นจินตนาการ การแก้ไขที่จินตนาการนี่แหละซับซ้อน

จะถูกแก้ไขด้วยความเข้าใจ และทัศนคติ ตัวนี้แหละ ที่จะเป็นตัวที่อยากจะมาขยี้ให้ฟังตามว่าไอ้คำว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ไม่มีใครเอามาพูดให้เข้าใจว่า มันเป็นยังไงผมต้องย้อนถามกลับว่า แล้วเศรษฐกิจมันดีตอนไหนบ้าง ตั้งแต่ถ้าลูกเกิดมาเราได้ยินมันผมถามไปถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่รุ่นปู่รุ่นย่าตายายนะ เขาก็นึกไม่ค่อยออกนะเขารู้แค่ว่าเขามีช่วงหนึ่งที่มันพอกินพอใช้ นักเศรษฐกิจนักลงทุนเลยก็ตาม บางคนก็รวยตอนเศรษฐกิจไม่ดี บางคนก็รวยตอนเศรษฐกิจดี แต่บางคนรู้สึกว่าตัวเองอู่ฟู่ยุคหนึ่ง ก็มีไม่เกิน 2-3 ยุคใน ประเทศไทยในวงจรของประเทศไทย น่าจะเป็นยุคก่อนฟองสบู่แตก

ลองศึกษาดูแล้วมันดีแค่ไหนมันกลายเป็นกลลวงของสภาวะเศรษฐกิจ ที่นักเศรษฐศาสตร์กับนักการเมืองจับมือกันแล้วก็ปั่น กลายเป็นสภาวะฟองสบู่แตกคือมันไม่ได้ดีจริงมันสร้างอุปสงค์อุปทานที่เกินจริง สร้างเงินกระแสสภาพที่เกินจริงสุดท้ายตั้งแตก ก็เกิดอะไรบ้างครับ ก็อย่างที่เห็นอย่างนี้เข้าใจใช่ไหมครับ การเก็งกำไรหนี้ภาวะเศรษฐกิจต้มยำกุ้งต้มยำกุ้ง คือระบาดจากเมืองไทยเงินไหลเข้าไหลออก นักลงทุนไม่เชื่อมั่นใช่ไหมครับ ถอนเงินออกไปลงทุนที่อื่นคนที่เก็งกำไรรอไว้ กับขายไม่ได้เลยจะล้มกันป็นแถวอะไรประมาณนี้ อาจบอกผิดบ้างแต่ไม่เพี้ยนเยอะ แล้วทุกวันนี้ล่ะ

เปลี่ยนมากินรัฐบาลแล้วทำไมเศรษฐกิจไม่ดี ไม่ดีจนแย่ลงเรื่อยๆ จริงหรอมันจะดีขึ้นเมื่อไหร่ จะดีขึ้นจริงไหม ผมขอพูดตรงๆ ไม่น่าจะเกิน 2 นาทีน่าจะจบเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เพื่อให้เข้าใจ เข้าใจถึงองค์กรทั้งหมด จะต้องบอกว่าเศรษฐกิจประเทศไทยในระยะยาว มันไม่มีทางจะกลับมาเป็นกราฟขึ้นทะยานเลยนะ เพราะตอนนี้เศรษฐกิจเราล้าหลัง ยังไงบ้างจับเวลาเลยตอนนี้เศรษฐกิจโลกไม่ดี หลายๆ ประเทศใช้จ่ายน้อยลง เพราะใช้จ่ายน้อยลงเสร็จปุ๊บ มันก็ทำให้คนซื้อของน้อยลง เพราะคนซื้อของน้อยลง สภาวะการส่งออกของประเทศไทย ส่งออกได้น้อยลงกว่า 90%

ประเทศไทยพึ่งพิงสภาวะการส่งออกเรื่องที่น่าตลกของเรื่องส่งออกของประเทศไทยที่เป็นตัวว่าเศรษฐกิจ ในประเทศไทย GDP ก็คือเราส่งออกสินค้าการเกษตรแบบเดิมๆ มาหลายปีแล้วเรื่องที่น่าสลดกว่านี้คือค่าแรงเราสูง สินค้าไม่รู้พัฒนาคนไม่ต้องการ ค่าแรงประเทศเพื่อนบ้านถูกกว่าเขาไปซื้อประเทศเพื่อนบ้านกันหมด เรายิ่งขายไม่ได้เราแข่งขันก็ไม่ได้ขายก็ไม่ได้ เพราะต้นทุนสูงเพราะค่าแรงเราเป็นไงสูง ค่าแรงที่อื่นถูกกว่า แล้วยังขายของในราคาเท่ากันใช่ไหมเขาก็ทำไงเขาก็ลดราคามาไม่กี่บาทแล้ว ก็สะเทือนและลดแค่ลดค่าเท่าไหร่กิโลกรัมละ 5 บาท 1,000 ตันกิโลกรัมละบาทก็ได้ 1,000 1,000 ล้านตันอย่างนี้

มันเป็นเงินเท่าไหร่บาทใช่ไหมครับ ตอนนี้ค่าแรงราคาเท่าไหร่ เริ่มต้นเท่าไหร่ 300 ใช่ไหม แล้วค่าแรงเวียดนามเท่าไหร่กี่บาท แค่นี้ได้เห็นอะไรบางอย่างแล้วใช่ไหมครับ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะมันส่งออกได้น้อยอัตราการจ้างงานก็น้อย กระแสสภาพในเงินของประเทศก็น้อย มาตราส่วนกระแสสะพัดในเงินในประเทศน้อย คนก็ใช้จ่ายน้อยใช้จ่ายน้อยก็จ้างงานน้อย สร้างงานน้อยก็ไม่มีคนซื้อของ ไม่มีคนซื้อของก็สินค้าเกิดขายไม่ได้ ลงทุนยังไงก็ไม่ขึ้น แล้วมันจะขึ้นได้ไงล่ะ อัดฉีดกลับไปสิแล้วก็ส่งออกให้มากขึ้นสิ ก็สภาวะการแข่งขันเราสู้คนอื่นเขาไม่ได้หรอกแพงกว่า สินค้าเราก็ไม่ได้ถูกแปรรูปอะไรเลย

เราไม่มีนวัตกรรมอะไรในการแปรรูปสินค้า ในยางพาราส่งแบบเดิมข้าวแบบเดิม พืชผลการเกษตรต้องส่งแบบเดิม ยังไม่มีการแปรรูปและถนอมอาหารเพิ่มมูลค่าไรเลย เมื่อก่อนส่งยังไงทุกวันนี้ก็ส่งอย่างนั้นโดนกดราคาอีกรัฐบาลก็ต้องเอางบประมาณมาอุ้มชูราคายาง ราคาข้าวเบาเงินของรัฐให้มาซื้อให้คนมีรายได้มากขึ้น แต่ทางรัฐเป็นไงแย่ลง

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ โควิด-19